Reborn

Reborn
หล่อปะ

Reborn

Reborn
ตอนโต

Reborn

Reborn
อัลโกบลาเรโน้ ทั้ง 7

วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553

ประวัติ อันโตนิโอ วาเลนเซีย



ชื่อเต็ม หลุยส์ อันโตนิโอ วาเลนเซีย มอสเคร่า
วันเกิด 4 สิงหาคม 1985
เมืองเกิด Nueva Loja, เอกวาดอร์
ตำแหน่ง กองกลาง, ปีก
ค่าตัว 16 ล้านปอนด์
หมายเลขเสื้อ 25
เข้าร่วมทีม 30 มิถุนายน 2009
ลงสนามนัดแรกให้แมนฯ ยูไนเต็ด 9 สิงหาคม 2009 พบเชลซี

อันโตนิโอ วาเลนเซีย เริ่มเล่นฟุตบอลกับทีม คาริบ จูเนียร์ ในบ้านเกิด ก่อนเริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลของเขากับทีม เอล นาซิอองนาล ในปี 2001 และย้ายมาร่วมทีม บียาร์เรียล ทีมในสแปนิช ลีก ของสเปนในปี 2005 ด้วยสัญญา 5 ปี แต่ก็ไม่สามารถแจ้งเกิดกับทีมชุดใหญ่ได้ก่อนถูกปล่อยให้ทีม เรเครติโบ อูเอลบา ยืมตัวไปใช้งาน

วาเลนเซีย เล่นได้ดีทั้งตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลาง และปีกขวา ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ปี 2006 เขาทำผลงานได้น่าประทับใจกับทีมชาติเอกวาดอร์ จนถูกโหวตให้ได้รับรางวัล "ดาวรุ่งยอดเยี่ยม ของฟีฟ่า" FIFA's Best Young Player Award และในปีเดียวกันเขาก็ได้ย้ายมาร่วมทีมในพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ด้วยสัญญายืมตัว 1 ปี กับวีแกน แอธเลติก ก่อนเซ็นสัญญาซื้อตัวอย่างเป็นทางการในปี 2008

ยังไม่หยุดอยู่แค่นั้นเมื่อผลงานของเขาได้รับการจับตามองจากทีมใหญ่หลายทีม อย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, เชลซี รวมทั้งเรียล มาดริด ยักษ์ใหญ่แห่งลา ลีกา สเปน ด้วย แต่ท้ายที่สุดในปี 2009 เขาก็จรดปากกาเซ็นสัญญา 4 ปี ย้ายมาอยู่ถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมแชมป์พรีเมียร์ ลีก ด้วยค่าตัวสูงถึง 16 ล้านปอนด์

"เขาเป็นผู้เล่นที่เราเฝ้าติดตามมานานแล้ว ตลอด 2 ปี หลังสุดกับวีแกน เขาเป็นกำลังสำคัญให้กับทีม และผมเองก็มั่นใจว่าความสามารถของเขาจะสร้างประโยชน์ให้กับทีมของเราได้อย่างมาก" เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กล่าว

เส้นทางอาชีพของอันโตนิโอ วาเลนเซีย
1999-2001 คาริบ จูเนียร์
2001-2005 เอล นาซิอองนาล ลงสนาม 84 นัด ทำประตู 20
2005-2008 บียาร์เรียล ลงสนาม 2 นัด
2005-2006 เรเครติโบ อูเอลบา (ยืมตัว) ลงสนาม 14 นัด ทำประตู 1
2006-2008 วีแกน แอธเลติก (ยืมตัว) ลงสนาม 37 นัด ทำประตู 1
2008-2009 วีแกน แอธเลติก ลงสนาม 47 นัด ทำประตู 6
2009 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลงสนาม 27 นัด ทำประตู 7

ประวัติ Michael Owen



วันเกิด 14 ธันวาคม 1979
เกิดที่ เมืองเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ
ตำแหน่ง กองหน้า
หมายเลข 7
เซ็นสัญญาร่วมทีมแมนฯ ยูไนเต็ด 3 ก.ค. 2009
ทีมชาติ อังกฤษ

การย้ายมาร่วมเล่นในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ของเขาในเดือนกรกฎาคม 2009 อาจทำให้หลายๆ คนต้องประหลาดใจ แต่ก็ไม่มีใครจะปฏิเสธได้ว่าไมเคิล โอเล่น อดีตศูนย์หน้าทีมลิเวอร์พูล คนนี้แหละ ที่เป็นเพชรฆาตล่าตาข่ายที่ดีที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษในช่วง 1 - 2 ทศวรรษที่ผ่านมา

ศูนย์หน้าผู้ถือกำเนิดจากเมืองเชสเตอร์ คนนี้ ทำประตูมากกว่า 200 ประตูให้ทีมลิเวอร์พูล, รีล มาดริด และนิวคาสเซิ่ล และทำอีก 40 ประตูให้กับทีมชาติอังกฤษ ในการลงเล่นทั้งหมด 89 นัด ก่อนที่จะย้ายมาร่วมเป็นหนึ่งในขุนพลของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

โอเว่น เริ่มต้นชีวิตค้าแข้งกับทีมลิเวอร์พูล ทีมซึ่งเขาใช้ชีวิตด้วยตั้งแต่เด็ก และเขาก็สามารถทำประตูให้ทีมชุดใหญ่ได้ตั้งแต่การลงเล่นในเกมแรกให้ทีมด้วยอายุเพียง 17 ปี ด้วยฝีเท้าที่รวดเร็ว คล่องแคล่ว การเคลื่อนไหวที่ยากจะจับได้ และการปิดสกอร์ที่เชี่ยวชาญ ทำให้การเปิดตัวของเขาในพรีเมียร์ ลีก เป็นไปอย่างยอดเยี่ยม และเขาก็ใช้เวลาเพียงไม่นานเลยให้การพิสูจน์ตัวเองว่าเหมาะที่จะมีชื่อติดทีมชาติอังกฤษ

ฟุตบอลโลกปี 1998 ที่ฝรั่งเศส ถือเป็นการเปิดตัวให้ทีมชาติที่ยอดเยี่ยมของโอเว่น เมื่อเขาทำประตูที่น่าเหลือเชื่อให้กับทีมชาติอังกฤษได้ในเกมที่พบกับทีมชาติอาร์เจนติน่า ในขณะที่ในเกมนั้นเองก็เกิดใบแดงที่อื้อฉาวของเดวิด เบ็คแฮม มิดฟิลด์แมนฯ ยูไนเต็ด ในขณะนั้น ทำให้เขาตกเป็นแพะที่ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องเหลือเพียง 10 คน และต้องยิงลูกโทษเพื่อตัดสินทีมเข้ารอบ แต่ในเกมนั้นโอเว่นคือผู้ที่ถูกยกย่องให้เป็นฮีโร่ของทีมชาติอังกฤษ

อาชีพค้าแข้งของเขากับลิเวอร์พูลดำเนินไปอย่างยอดเยี่ยมปีแล้วปีเล่า และในปี 2001 ก็เป็นปีที่ยอดเยี่ยมของเขา เมื่อเขาเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยทีมลิเวอร์พูล คว้า 3 แชมป์ทั้งยูฟ่า คัพ, เอฟเอ คัพ และลีก คัพ นอกจากนี้เกมทีมชาติเขาสามารถทำแฮตทริกได้ในเกมที่พบกับทีมชาติเยอรมัน ซึ่งนั่นก็ให้เขาคว้าถ้วยบัลลงดอร์ และถ้วยนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าไปครอง

ไมเคิลย้ายออกจากลิเวอร์พูลหลังจากใช้ชีวิตอยู่กับทีมเป็นเวลา 8 ปีที่รุ่งโรจน์ พร้อมกับการมาของผู้จัดการทีมคนใหม่ ราฟาเอล เบนิเตซ โดยไมเคิลย้ายไปเล่นให้กับรีล มาดริด แต่แม้ว่าเขาจะย้ายไปเล่นในลาลีกาเพียง 1 ฤดูกาล แต่เขาก็ทำประตูได้ถึง 14 ประตูในการลงเล่น 22 นัดให้กับรีล มาดริด ก่อนที่จะย้ายไปเล่นให้กับนิวคาสเซิ่ลด้วยค่าตัว 16 ล้านปอนด์

แต่ชีวิตในเซนต์ เจมส์ ปาร์ค ของเขาไม่สวยหรูนัก เมื่อเขาต้องพบกับอาการบาดเจ็บรุมเร้าอยู่ตลอด จากการอยู่กับเดอะ แมกพายส์ 4 ฤดูกาลเขาได้ลงเล่นเพียง 65 นัด และทำประตูได้ 30 ประตู ก่อนที่สัญญาของเขากับทีมจะหมดลงในช่วงซัมเมอร์ปี 2009 และนั่นก็เป็นจุดที่เปิดโอกาสให้เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้คว้าตัวเขามาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แบบไม่เสียค่าตัว ด้วยสัญญา 2 ปี

และก็ต้องถือว่าเขาเปิดตัวกับทีมปีศาจแดงได้ดีทีเดียว เมื่อการลงเล่นอย่างไม่เป็นทางการนัดแรกของเขาในการทัวร์เอเชียกับทีม เขาก็สามารถทำประตูให้ทีมได้ในเกมที่พบกับมาเลเซีย เกมแรก จากการเปิดบอลของไรอัน กิ๊กส์ และจากนั้นเขาก็ยังสามารถทำประตูได้ในเกมที่สองที่พบกับมาเลเซีย อีกครั้ง ถือว่าเขาเปิดตัวกับทีมใหม่ได้อย่างน่าสนใจทีเดียว

ประวัติ Dimitar Berbatov



วันเกิด 30 มกราคม 1981
สถานที่เกิด บลาโกลฟกราด, บัลแกเรีย
ตำแหน่ง ศูนย์หน้า
หมายเลขเสื้อ 9
ย้ายมาร่วมทีม วันที่ 1 กันยายน 2008
ทีมชาติ บัลแกเรีย

ดิมิตาร์ เบอร์บาตอฟ ศูนย์หน้าตัวเป้า ที่สมบูรณ์แบบ และแสนภาคภูมิ เปี่ยมไปด้วยความสามารถ และสัญชาติญาณการล่าตาข่ายที่ดุดัน เซอร์ อเล็กซ์ยอมรับว่าชื่นชอบนักเตะที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ อีกทั้งสไตล์การเล่นแบบบัลแกเรียนที่โดนเด่น ใกล้เคียงบุรุษในตำนานอย่าง เอริค คันโตน่า เบอร์บาตอฟจึงได้กลายมาเป็นหนุ่มบัลแกเรียน ชุดแดงขวัญใจแฟนๆ ยูไนเต็ด ในแนวรุกเคียงคู่เวย์น รูนี่ย์, คาร์ลอส เตเบซ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้

เบอร์บาตอฟเปิดฉากชีวิตนักเตะ ด้วยการร่วมทีมซีเอสเคเอ โซเฟีย ยักษ์ใหญ่ของบัลแกเรีย ในขณะที่มีอายุเพียง 17 ปี เจริญรอยตาม อีวาน พ่อของเขา และหลังจากประเดิมนัดเปิดสนามกับทีมยักษ์ใหญ่ ในปี 1998-99 ด้วยวัยเพียง 18 ปี เบอร์บาตอฟ ก็เริ่มสร้างชื่อให้กับตัวเองอย่างรวดเร็วด้วยการทำ 14 ประตู ใน 27 นัด ในการลงเล่นในลีก

หลังเปิดฉากการทำประตู ให้กับซีเอสเคเอ พรสวรรค์ และความโดดเด่นของเบอร์บาตอฟ ดึงดูดสายตาของทีมยักษ์ใหญ่อย่าง "ห้างขายยา" ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น จากเยอรมันมาคว้าตัวไปรับหน้าที่ศูนย์หน้าล่าตาข่าย ในเดือน ม.ค. 2001 แต่การร่วมทีมกับเลเวอร์คูเซ่น กลับดูเหมือนจะฝืดๆ อืดๆ ในช่วงแรก จนกระทั่งเขาได้สำแดงฤทธิ์เดชสร้างชื่อให้กับตัวเอง ในศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยการโซโล ทำประตูเอาในแมทช์ที่บี้กับลียง และอีกเกมที่สามารถทะลวงตาข่ายของหงส์แดง ลิเวอร์พูล

นอกจากความโดนเด่นในระดับสโมสรแล้ว เบอร์บาตอฟยังสวมปลอกแขนกัปตันทีมชาติ บัลแกเรีย สร้างผลงานจนได้รับเสนอชื่อเข้ารับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี ในปี 2002, 2004 2005 และ 2007

ตัวแดงในสมุดพกของดิมิตาร์ เบอร์มาตอฟ มีแค่ครั้งที่เขาสังกัดอยู่ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ซึ่งเขี่ยแมนฯ ยูไนเต็ด ตกรอบก่อนรองชนะเลิศ เมื่อศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก เดือนเมษายน ปี 2002 โดยเขาได้ลงเล่นเป็นตัวสำรองในเกมนี้

จุดกำเนิดการผันเข้าสู่วงการพรีเมียร์ชิพ ด้วยการเซ็นสัญญามาเป็นพลพรรค "ไก่เดือยทอง" ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ด้วยค่าเหนื่อย 10.9 ล้านยูโร ชาวไวท์ฮาร์ท เลน ไม่ผิดหวัง เมื่อเบอร์บาตอฟ เปิดตัวด้วยการซัลโว ในสองนาทีแรก ในศึกครั้งที่เปิดบ้านรับเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ต และโชว์ฟอร์มร้อนแรงจัด ซัดไปถึง 23 ประตูในครึ่งฤดูกาลแรกจนได้รับการโหวตเป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาล 2007/08 ของไก่เดือยทองอีกด้วย

จนท้ายที่สุด หลังจากที่สับสนเรื่องการย้ายทีม เบอร์บาตอฟ ก็แพ็คกระเป๋าย้ายเข้าโอลด์ แทรฟฟอร์ด กลางฤดูร้อน 2008 ด้วยสัญญา 4 ปี นับแต่วันที่ 1 ก.ย. 2008

วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2553

บทความ ประวัติความเป็นมาของทีมยักษ์ใหญ่ Manchester United



แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฟุตบอล คลับ เกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงต้นทศวรรษ 1870 เมื่อพนักงานการรถไฟกลุ่มหนึ่งได้ก่อตั้งทีมฟุตบอลขึ้นมา ซึ่งพวกเขาใช้ชื่อว่า เดอะ แลงคาเชียร์ แอนด์ ยอร์คเชียร์ เรียลเวย์ ฟุตบอล คลับ และต่อมาได้เปลี่ยนเป็น นิวตัน ฮีธ ในปี 1878 โดยพวกเขาพยายามเข้าร่วมฟุตบอลลีกถึงสองครั้งแต่ก็ล้มเหลว เพราะไม่มีสโมสรใดให้การสนับสนุน แต่ในที่สุดพวกเขาก็ได้รับการยอมรับเมื่อฟุตบอลลีกมีการแบ่งออกเป็นสองดิวิ ชั่นในเวลาต่อมาไม่นานเกม ลีกนัดแรกในประวัติศาสตร์ของ นิวตัน ฮีธ คือ ดารมพ่ายแพ้ต่อ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 3-4 แต่ชัยชนะนัดแรกก็มาถึงในไม่ช้า เมื่อพวกเขาจัดการถล่มเอาชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ไปได้ถึง 10-1 แต่หลังจากนั้นทีมกลับทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง เมื่อคว้าชัยชนะได้เพียงแค่ 6 จาก 30 นัดเท่านั้น จนทำให้พวกเขาตกไปอยู่ในอับดับบ๊วยของตาราง แต่พวกเขาก็รอดการตกชั้นได้ หลังจากที่เอาชนะ สมอลล์ ฮีธ ไปได้ 5-2 ที่สนาม บรามอลล์เลนแต่ ในปีต่อมาทีมยังคงเล่นแย่เหมือนเดิมและต้องตกชั้นไปในที่สุด โดยแม้จะมีการยุบลีก และตั้งขึ้นมาใหม่ แต่ทีมก็มีปัญหาในการเข้าร่วมลีกอีกครั้ง เนื่องจากสถานะทางการเงินที่ไม่ดีนัก ก่อนที่พวกเขาจะล้มละลายเมื่อเข้าปี 1902 โชคดีที่มีผู้อำนวยการโรงกลั่นเบียร์ที่ชื่อ จอห์น เดวี่ส์ มาลงทุนกับสโมสร ทำให้เขากลายเป็นผู้อำนวยการ และประธานสโมสรในท้ายที่สุด จากนั้นทีมก็เปลี่ยนชื่อมาเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้และ อีกไม่นาน เออร์เนสต์ แมกนัลล์ ก็ถูกแต่งตั้งให้เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมคนแรกของทีมในปี 1903 โดย แมกนัลล์ ได้นำพาไต่ขึ้นมาจากดิวิชั่น 2 ได้ และจากสไตล์การเล่นที่รวดเร็ว และ สวยงาม ในฤดูกาล 1907-08 "ปีศาจแดง" ก็สามารถคว้าแชมป์ลีกมายังถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร แถมในปีถัดมาพวกเขายังคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ไปครองได้อีกต่างหากแต่หละงจากที่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ประสบปัญหาจนได้ เมื่อสนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เกิดใช้การไม่ได้ รวมถึงนักเตะบางคนก็อายุมากขึ้น ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่โดยการเซ็นสัญญากับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมร่วมเมือง เพื่อขอใช้สนาม เมน โร้ด เป็นสนามเหย้า พร้อมกับแต่งตั้ง แม็ตต์ บัสบี้ เป็นผู้จัดการทีมชุดนั้น แต่ใครจะไปรู้ได้ว่าชายผู้นี้แหละที่ได้สร้าง "เร้ด เดวิลส์" ให้กลับขึ้นมาผงาดอีกครั้ง เมื่อเขาพาทีมที่มีเด็กท้องถิ่นเป็นองค์ประกอบหลักคว้าแชมป์ลีกในฤดูกาล 1951-52 และบับจากนั้นมันก็ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของยุค บัสบี้ เบ๊บส์ อันยิ่งใหญ่แชมป์ ลีกในฤดูกาล 1955-56 ตกเป็นของพวกเขา และในฟุตบอลยุโรป บัสบี้ ก็สามารถพาทีมลุยเข้ารอบ ยูโรเปี้ยน คัพ และไปถึงรอบรองชนะเลิศ ได้สำเร็จก่อนที่จะตกรอบไป แต่ยังดีที่พวกเขาคว้าแชมป์ดิวิชั่นหนึ่งได้อีกสมัย และจะได้กลับมายุโรปใหม่ในปีหน้า แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิดเมื่อสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่ เมื่อเครื่องบินโดยสารทีมที่ลงจอดในกรุงมิวนิค เกิดอุบัติเหตุขณะกำลังบินขึ้นฟ้า ส่งผลให้ผู้เล่นของทีม 8 รายเสียชีวิตทันที และนั่นก็เป็นโศกนาฏกรรมที่สะเทือนใจที่สุดในวงการกีฬาทั่วโลกในขณะนั้น หลัง จากเหตุการณ์ดังกล่าว แม็ตต์ บัสบี้ ได้ทำการตัดสินใจสร้างทีมขึ้นมาใหม่เพื่อสานฝันที่จะคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ให้ได้ โดยแกนนำยังเป็นนักเตะที่รอดชีวิตมาจากเหตุการณ์เครื่องบินตก รวมกับผู้เล่นจากทีมสำรอง, ทีมเยาวชน และนักเตะที่ซื้อเข้ามาใหม่ จนทีมเริ่มกลับมาแข็งแกร่งขึ้นตามลำดับ และเมื่อฝันร้านร้ายได้ผ่านไปพวกเขาก็กลับมาคว้าแชมป์ได้อีกครั้งในถ้วย เอฟเอ คัพ ปี 1963 ซึ่งในฤดูกาลนั้นเองนักเตะอย่าง จอร์จ เบสต์ ,เดนนิส ลอว์ และ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน แจ้งเกิดขึ้นมาได้สำเร็จ และดูเหมือนช่วงนี้จะเป็นเวลาที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร เมื่อพวกเขาคว้าแชมป์ลีกมาครองได้ 2 สมัยในรอบ 3 ปีหลัง และแน่นอนเป้นหมายต่อไปของพวกเขาย่อมอยู่ที่ ยูโรเปี้ยน คัพ จนในที่สุดความฝันของ แม็ตต์ บัสบี้ ก็เป็นจริง เมื่อ ลูกทีมของเขา ไล่ถล่มเอาชนะ เบนฟิก้า ทีมชื่อดังของเมืองฝอยทองซึ่งนำทัพมาโดย ยูเซบิโอ นักเตะชื่อก้องโลก ไปได้ที่สนาม เวมบลีย์ ด้วยสกอร์ 4-1 และคว้าแชมป์ถ้วยสโมสรใบใหญ่สุดของยุโรปไปได้อย่างงดงาม ก่อนที่ บัสบี้ จะวางมือในเวลาต่อมาซึ่งนั่นดูเหมือนว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนของทีมอีกครั้ง เมื่อช่วงทศวรรษที่ 1970 วิลฟ์ แม็คกินเนสส์, แฟร้งค์ โอ ฟาร์เรลล์ และ ทอมมี่ ด็อคเคอร์ตี้ ที่เข้ามารับงานต่อจากเซอร์บัสบี้ ต่างก็ทำผลงานได้ย่ำแย่จนทีมต้องตกชั้นลงไปเล่นในดิวิชั่น 2 ในเวลาไม่นาน ช่วง ทศวรรษ 80 หลังจากที่ ยูไนเต็ด กลับมาขึ้นมาในลีกสูงสุดอีกครั้ง พวกเขาก็ยังสร้างผลงานได้ไม่เป็นที่น่าประทับใจนัก ทำให้ทางเบื้องบนได้ตัดสินใจที่จะดึงตัว รอน แอ๊ตกินสัน เข้ามาคุมทีมแทนที่ของ เดฟ เซ็กซ์ตัน ในปี 1981 โดยบิ๊กรอน ได้นำนักเตะใหม่หลายคนเข้ามาสู่ทีม โดยเฉพาะในรายของ ไบรอัน ร็อบสัน กองกลางชาวอังกฤษที่เขาจ่ายเงินกว่า 1.5 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 105 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าตัวนั้นถือเป็นการซื้อที่เป็นสถิติการย้ายทีมของเกาะอังกฤษใน เวลานั้นเลย แต่หลังจากนั้น ร็อบสัน ก็แสดงให้เห็นว่าเขาเล่นได้คุ้มค่าตัวทุกเพนนี แต่การเปลี่ยนแปลงในรั่ว โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ก็ยังไม่หยุดลงแค่นี้ เมื่อทางบอร์ดบริหารได้เห็นตรงกันว่า การคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ 2 สมัย นั้นไม่เพียงพอต่อสโมสรระดับนี้ ส่งผลให้ตำแหน่งผู้จัดการทีม ยูไนเต็ด เปลี่ยนมือมาจาก แอ๊ตกินสัน ไปสู่ผู้จัดการทีมคนใหม่ที่ชื่อว่า อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน งานชิ้นใหม่ของ "เฟอร์กี้" ในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เขาต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันที่มากมาย และด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้ผู้จัดการทีมคนก่อนอย่าง แอ๊ตกินสัน ต้องกระเด็นตกเก้าอี้ไป แน่นอนว่าแค่แชมป์เอฟเอ คัพ อย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะตอบสนองความทะเยอทะยานและความต้องการของสโมสร ยักษ์ใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ และงานนี้ของ "เฟอร์กี้"ก็ดูท่าจะต้องพบกับความยากลำบาก เมื่อยุคนั้น ลิเวอร์พูล อริตัวฉจากของทีมกำลังครองความยิ่งใหญ่ในประเทศอยู่ โดยมี อาร์เซน่อล และ เอฟเวอร์ตัน เป็นอีกสองทีมที่พอฟัดพอเหวี่ยง 18 เดือนแรกของ เฟอร์กี้ นั้นก็ดูจะผ่านไปได้อย่างราบรื่น เมื่อ ยูไนเต็ด จบซีซั่นอันดับสองของลีกในปี 1988 เป็นรองแค่ ลิเวอร์พูล ทีมเดียวเท่านั้น ทว่าหลังจากจุดสูงสุดครั้งนั้น ปีศาจแดง ต้องกลับมาประสบปัญหาอีกครั้ง ความพ่ายแพ้ยับเยิน 1-5 รวมถึงการพ่ายต่อเพื่อนร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเดือนพฤศจิกายน 1989 ซึ่งนั่นเป็นเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดกระแสเรียกร้องให้ปลดเขาออกจาก ตำแหน่ง โดยปีนั้นจบปีด้วยอันดับ 11 ของตาราง แต่ หลังจากเหตุการณ์นั้นทุกอย่างก็ดูเปลี่ยนไป และถ้าหากเรามาดูกันความสำเร็จในปัจจุบันต้องถือว่าการตัดสินใจครั้งสำคัญ ที่สุดของบอร์ดปีศาจแดงที่ปล่อยให้ เฟอร์กูสัน ทำงานพิสูจน์ฝีมือต่อนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุด ซึ่งประตูชัยของ มาร์ค โรบินส์ ในเกมเอฟเอ คัพ รอบ 3 ที่ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ในเดือนมกราคม 1990 เปรียบเสมือนเป็นการปลุก "เร้ด เดวิลส์"ให้กลับสู่ยุคทองของสโมสรอีกครั้ง ซึ่ง แชมป์แรกของพวกเขาภายใต้การนำทีมของ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็เกิดขึ้นจากการคว่ำ คริสตัล พาเลซ ในรอบชิงชนะเลิศ นัดรีเพลย์ ศึก เอฟเอ คัพ จากนั้นในปี 1991 ถ้วยใบที่สองก็ตามมาติดๆ เมื่อ ยูไนเต็ด ปราบยักษ์ใหญ่จาก สเปน อย่าง บาร์เซโลน่า ไปได้ในนัดชิงชนะเลิศศึก คัพ วินเนอร์ส คัพ ที่ร็อตเตอร์ดัม ได้สำเร็จ อย่าง ไรก็ตาม เฟอร์กี้ นั้นก็รู้ดีว่าตำแหน่งแชมป์ลีกที่เขายังทำไม่ได้นั้นเป็นเป้าหมายสูงสุดของ ทีมในเวลานั้น แต่พวกเขาก็ต้องผิดหวังอีกครั้งเมื่อในปี 1992 เมื่อพวกเขาถูก ลีดส์ ยูไนเต็ด แซงแย่งแชมป์ไปแบบพลิกความคาดหมาย โดยที่ปีเดียวกันทีมก็มีถ้วยรางวัลปลอบใจติดมือมา 1ใบคือ ลีก คัพ พฤศจิกายน 1992 การเข้ามาของ เอริก คันโตน่า ก็เปรียบเสมือนเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายของ เฟอร์กี้ ในการไล่ล่าแชมป์ ที่ปีศาจแดง รอคอยมานานถึง 26 ปี โดยทีมสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ชิพในปี 1993 มาครองได้สำเร็จ และหลังจากวันนั้นทีมก็เปล่งประกายของการเป็นทีมฟุตบอลที่ดีสุดในประเทศอีก ครั้ง เมื่อพวกเขาคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้ในปี 1994 ได้อบบต่อเนื่อง แถมยังเกือบเป็นทริปเบิ้ลแชมป์ด้วย หากไม่เพราะความพ่ายแพ้ในนัดชิงชนะเลิศถ้วย ลีก คัพ แต่ จากการขาด เอริก คันโตน่า ในฤดูกาลถัดมา เนื่องจากติดโทษแบนจากการไปมีเรื่องกับแฟนบอลพาเลซ ซึ่งนั้นก็ดูเหมือนจะส่งผลกระทบครั้งใหญ่ต่อการพลาดดับเบิ้ลแชมป์อีกสมัยของ ทีม เมื่อ ยูไนเต็ด พลาดท่าในลีกต่อ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในเกมสุดท้าย และก็ต่อด้วยการพ่ายให้กับ เอฟเวอร์ตัน ในเกมนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ในไม่กี่สัปดาห์ต่อมา พอถึงช่วงซัมเมอร์ปี 1995 บรรดาผอง เร้ด อาร์มี่ ก็ต้องช็อกกับเหตุกาณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ เฟอร์กี้ จัดการเปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่ ด้วยการขายผู้เล่นชั้นดีอย่าง พอล อินซ์, มาร์ค ฮิวจ์ส และ อังเดร แคนเชลสกี้ส์ ออกจากทีมเวลาไล่เลี่ยกัน แล้วหันมาใช้งานบรรดาดาวรุ่งรุ่นใหม่ของทีมอย่าง เดวิด เบ็คแฮม, สองพี่น้องเนวิลล์ ,พอล สโคลส์ และ นิคกี้ บัตท์ เรื่อง นี้ที่อังกฤษมีการพูดถึงกันอย่างมากถึงการกระทำของ เฟอร์กี้ ครั้งนี้ แต่บรรดาดาวรุ่งทั้งหลายก็ช่วยลบคำสบประมาทและเสียงก่นด่าให้กับเจ้านาย ด้วยการนำปีศาจแดง ครองดับเบิ้ลแชมป์สมัยที่ 2 ได้เป็นทีมแรกของประเทศ ในปี 1997 ยูไนเต็ด ยังคงรักษาตำแหน่งทีมอันดับหนึ่งของประเทศไว้ได้ต่อไป แต่เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลพวกเขาก็ต้องพบกับการสูญเสียนักเตะคุณภาพไปอีกหนึ่ง รายหลังจากที่ เอริก คันโตน่า ประกาศอำลาสังเวียนอย่างช็อกคนทั้ง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดในฤดูกาลถัดมา แม้พวกเขาจะนำโด่งเป็นจ่าฝูงจนเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้าย แต่จากอาการบาดเจ็บของนักเตะตัวหลักหลายราย ส่งผลให้ อาร์เซน่อล ที่เดินหน้าคว้าชัยชนะ 10 เกมติด แซงหน้าเข้าป้ายคว้าแชมป์ไปอย่างเจ็บแสบ และนอกจากนี้ไอ้ปืนใหญ่ ยังตีเสมอสถิติดับเบิ้ลแชมป์ 2สมัยได้ด้วย หลังจากเอาชนะ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด คู่ชิงในเอฟเอ คัพไปได้สำเร็จ 1998-99 ฤดูกาลที่ได้ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ลูกหนังอังกฤษ และคาดว่าจะอยู่ในความทรงจำของชาวแฟน ปีศาจแดง ไปอีกนานเท่านาน เมื่อ เฟอร์กี้ ทุ่มเงินจำนวน 27 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 2,025 ล้านบาท ในคว้า 3 ดาวเตะตัวใหม่อย่าง ดไวท์ ยอร์ค, ยาป สตัม และ เยสเปอร์ บลอมควิสต์ มาเสริมทัพ และเงินทุกเพนนีที่จ่าไปเมื่อต้นซีซั่นนั้นก็ถูกตอบแทนด้วยผลลัพธ์ที่เหนือ ความคาดหมาย เมื่อ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ประกาศความยิ่งใหญ่ให้ทุกคนรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่แค่สุดยอดสโมสรในระดับ ประเทศเท่านั้น เมื่อพวกเอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค ยักษ์ใหญ่จากเยอรมัน ได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บในศึก ยูโรเปี้ยน คัพ พร้อมกับคว้าทริปเบิ้ลแชมป์ได้อย่างมหัศจรรย์สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นความทรงจำที่ดีของทีมไปอีกนานเท่านาน แต่อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงแล้วโลกลูกหนังนั้นก็ไม่สามารถมาหยุดกับความ สำเร็จในอดีตได้เลย ซึ่ง เฟอร์กูสัน เองก็รู้เรื่องนี้ดี ทำให้เขาเริ่มที่จะถ่ายเลือดใหม่อีกครั้ง ซึ่งแม้แต่ เดวิด เบ็คแฮม ที่เคยเป็นกำลังสำคัญของทีมก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ต้องออกจากถิ่น โอลด์แทร็ฟฟอร์ดไป สู่ รีล มาดริดพร้อม กันนี้ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ มัลคอล์ม เกลเซอร์ มหาเศรษฐีชาวสหรัฐฯ เจ้าของทีม แทมป้า เบย์ บัคคาเนียร์ส ในศึกอเมริกันฟุตบอลเอ็นเอฟแอล ได้เข้ามาเทคโอเวอร์กิจการของสโมสรต่อจาก มาร์ติน เอ็ดเวิร์ด เจ้าของทีมคนเก่า และรวบรวมหุ้นมาสู่กำมือของตระกูลแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งการเข้ามาคุมสโมสรของตระกูล เกลเซอร์ ครั้งนี้ก็ดูเหมือนว่าจะสร้างความ โกรธแค้นให้กับแฟนบอลบางส่วนมากทีเดียวขนาดที่ว่า แยกออกไปตั้งสโมสรอีกหนึ่งทีมหนึ่งเลยทีเดียว